วันอังคารที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2559

องค์กรแห่งการเรียนรู้

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ กระดานดำ

องค์กรแห่งการเรียนรู้

ความหมายของคำว่า องค์กรแห่งการเรียนรู้  (Learning Organization) ถ้าอ้างอิงตามนักคิดท่านหนึ่งคือ Peter M. Senge ท่านเคยให้นิยามไว้ว่า “องค์กรแห่งการเรียนรู้ คือ ที่ๆ ซึ่งบุคลากรมีความเป็นเลิศใน  – การสร้างสรรค์ (Creating) และพัฒนา ความรู้ใหม่ๆ,  – ได้มาจาก (Acquiring) การจัดเก็บความรู้ อย่างเป็นระบบ, และ  – ถ่ายทอด (Transferring) แลกเปลี่ยน ความรู้ภายในองค์กร ” ส่วนทฤษฎีการสร้างองค์กรแห่งการเรียนรู้นั้นมีนักคิดหลายท่านได้เสนอไอเดียที่หลายหลาก ในบทความนี้จะขอยกตัวอย่างทฤษฎีของ David A. Garvin, Amy C.Edmondson, and Francesca Gino ที่ตีพิมพ์ใน Harvard Business Review – March 2008 ซึ่งมี 3 องค์ประกอบหลักดังนี้
  • สภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ (Supportive learning environment)
    • มีบรรยากาศของ “ ความปลอดภัยเชิงจิตวิทยา ” (Psychological safety)
    • องค์กรจะต้อง “ ชื่นชมยอมรับในความแตกต่าง ” (Appreciation of differences)
    • องค์กรจะต้อง “ เปิดกว้างต่อความคิดใหม่ๆ ” (Openness to new ideas)
    • องค์กรจะต้อง “ มีเวลาให้ได้คิดเชิง สะท้อน ” (Time for reflection)

  • พฤติกรรมของผู้นำที่กระตุ้นการเรียนรู้ (Leadership That Reinforcing Learning)
    • การเป็นผู้บริหารที่ใจกว้าง ยอมรับฟัง ข้อคิดเห็นจากผู้อื่น
    • การเป็นผู้นำที่ถ่อมตน ยอมรับข้อจำกัดของ ตนเองและเคารพความชำนาญการของผู้อื่น
    • เป็นนักตั้งคำถามที่ดี
    • เป็นนักฟังที่ดี
    • เป็นนักกระตุ้นให้เกิดการแสดงมุมมองที่ หลากหลาย
    • เป็นนักบริหารเวลา สถานที่ และ ทรัพยากร เพื่อการค้นพบปัญหาและข้อท้าทายต่อ องค์กร
    • เป็นนักบริหารเวลา สถานที่ และ ทรัพยากร เพื่อการสะท้อนและปรับปรุงผลการทำงาน ในอดีต

  • กระบวนการและการดำเนินการการเรียนรู้ที่ เป็นรูปธรรม (Concrete Learning Processes and Practices)
    • องค์กรจะต้องส่งเสริม “ ให้มีการทดลอง ” (Experimentation)
    • องค์กรส่งเสริมให้ “ มีการเก็บรวบรวมข้อมูล ” (Information collection) โดยมีการเก็บรวบรวม ข้อมูลอย่างเป็นระบบเพื่อติดตามความเคลื่อนไหว และแนวโน้มด้านการแข่งขัน คู่แข่งขัน ลูกค้า แนวโน้มด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง กฏหมาย และเทคโนโลยีใหม่ๆ
    • องค์กรส่งเสริมให้ “ มีการวิเคราะห์ ” (Analysis) โดย จัดให้บุคลากรได้มีการสนทนา (Dialogue) อภิปราย (Discuss) แล้วตีความข้อคิดเห็นและข้อมูลเพื่อทำความเข้าใจและระบุหาปัญหาและแสวงหาแนว ทางแก้ไขปัญหาเหล่านั้นร่วมกันอย่างสร้างสรรค์
    • องค์กรจัดให้มี “ การศึกษาและฝึกอบรม ” (Education and Training) เพื่อพัฒนาบุคลากรทั้ง กลุ่มใหม่และกลุ่มเก่าได้มีความรู้ความสามารถในการ ทำงานอย่างเพียงพอ
    • องค์การจัดให้มี “ การถ่ายโอนข้อมูล ” (Information transfer)

โดย   http://www.bejame.com/

ว่าด้วยเรื่อง หน่อไม้ฝรั่ง

  ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ หน่อไม้ฝรั่ง       ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ หน่อไม้ฝรั่ง
                 ในตำรายาจีนโบราณได้ใช้รากของหน่อไม้ฝรั่งใช้รักษาเกี่ยวกับข้ออักเสบ  แลอาการของคนที่มีบุตรยากโดยทางการแพทย์แล้วในหน่อยไม่ฝรั่ง  ไกลโดไซด์เตียรอยด์ที่อยู่ในรากของหน่อไม้ฝรั่งจะช่วยลดอาการอักเสบ  นอกจากนั้นในหน่อยไม้ฝรั่งมีสารอาหารที่สำคัญ  เช่น  กรดโฟลิก  วิตามินซี  โพแทสเซียม  เบต้าแคโรทีน  ไกรโฟลิก  ซึ่งสารเหล่านี้ช่วยในการป้องกันมะเร็งในที่ต่างๆ  อย่างเช่น  มะเร็งปากมดลูก  มะเร็งลำไส้  และโรคเกี่ยวกับหัวใจได้ด้วย  ช่วยรักษาความดันให้ปกติ  ลดคอเลสเตอรอลในเลือด  ต้านไวรัสบางชนิดในการทดลองพบว่าเป้ฯยาขับปัสสาวะและเป็นพืชทางเศรษฐกิจที่สำคัญด้วย  เราสามารถนำมาปรุงอาหารได้หลายชนิด  ทั้ง  ผัด  ต้น  แต่การที่จะเก็บและการเลือกหน่อไม้ฝรั่งมีเทคนิคต่างๆคือ
                      การเลือกหน่อยไม้ฝรั่ง  ควรเลือกในฤดูกาลของหน่อไม้ฝรั่งเพราะจะได้ราคาถูกและยังสดอีกด้วย  ไม่ว่าคุณจะชอบที่อ่อนหรือว่ามีแก่บ้างเล็กน้อยแล้วแต่คนชอบแต่ควรเลือดสดๆ  เก็บใหม่ๆ  เพราะยิ่งไว้นานจะทำให้สูญเสียรสชาติและสารอาหารได้  ดูจากข้อของก้านจะพบว่าอายุของมันมากน้อยเท่าไหร่  หากแห้งเหี่ยวแสดงว่าเก็บไว้นานแล้ว  ก้านที่ควรจะเลือกต้องมีความสม่ำเสมอกัน
                     การเก็บหน่อไม้ฝรั่ง  หน่อไม้ฝรั่งสามารถที่จะเก็บไว้ได้นาน 2 – 3 วันโดยการใส่ถุงและปิดปากถุงให้สนิทไม่ให้อากาศเข้านำไปแช่ที่ตู้เย็นแต่ควรให้ก้านตรงโดยวางแนวนอนไม่ควรวางตั้งขึ้น  หากต้องการเก็บไว้ได้นานกว่าให้ทำการแช่แข็งจะเก็บไว้นานขึ้น 5 – 6 วัน  หากต้องการเก็บรักษาไว้นานสามารถใช้วิธีอื่นอย่างเช่นการดอง  การต้มหรือว่าการลวก  แต่จะทำให้รสชาติเสียไป  และหากจาลวกหรือนึ่งเสร็จจะต้องเก็บไว้ในถึงแช่เย็นเช่นกัน
                       การลวก  การที่จะลวกให้ได้รสชาติคงเดิมให้มากที่สุดสามารถทำด้วยการต้มน้ำให้เดือด  แล้วนำหน่อไม้ฝรั่งลวกลงไป 2 – 5 นาทีแล้วแต่ก้านแก่หรืออ่อนหรือจะให้ซีดพอประมาณ  เมื่อได้ที่แล้วให้นำไปแช่ในน้ำเย็น  เมื่อเย็นแล้วไปสะเด็ดน้ำให้แห้ง  สามารถนำมารับประทานกับน้ำพริกหรือว่าไปแช่เย็นจะได้เก็บไว้ได้นาน
                      การนึ่ง  ให้ใช้ซึ้ง  หรือว่าอย่างอื่นสำหรับนึ่งให้รอน้ำเดือดพอประมาณแล้วให้นำหน่อไม้ฝั่งใส่ที่ไอน้ำปิดฝารอประมาณ 3 – 6 นาที  หลังจากนั้นก็นำมาแช่น้ำเย็นปล่อยให้เย็นแล้วนำไปสะเด็ดน้ำออก  การลวกการนึ่งสามารถเก็บไว้ได้นานแต่จะสูญเสียคุณภาพได้
                       หน่อไม้ฝรั่งควรปลอกเปลือกหรือไม่  หลายคนมักจะปลอกเปลือกตามจริงแล้วควรจะคงสภาพไว้ไม่ปลอกจะดีที่สุด  แต่ในบางครั้งมันแก่ก็ปลอกได้เพราะว่าจะเคี่ยวได้ง่ายแต่หากต้องการปลอกจริงควรปลอกเฉพาะโคลนของก้านหรือว่าเลือกก้านอ่อนจะได้ไม้ต้องปลอก
                        ทำไมหน่อไม้ฝรั่งปลายเป็นสีเขียวโคลนเป็นสีขาว  ในสายพันธุ์จะเป็นสีขาวทั้งก้านส่วนบ้านเรามักจะเป็นสีเขียวโคลนสีขาว  ที่สีเขียวเพราะว่ามีโคลโลฟิลที่ใช้ในการสังเคราะห์แสงเพื่อสร้างอาหารให้กับต้นมันเองและทำการสะสมไว้ที่โคลนก้าน  โคลนก้านเลยเป็นสีขาวเพราะไว้สำหรับสะสมอาหารอย่างเดียวไม่จำเป็นที่จะสังเคราะห์แสง

โดย http://www.krabork.com/

วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2559

การรีดผ้าอย่างถูกวิธี

               ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ เตารีดการ์ตูน                 ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ เตารีดการ์ตูน

       สำหรับการรีดผ้า  เป็นงานที่หนักเอาการสำหรับแม่บ้าน  ยิ่งผ้าเยอะก็ทำให้เหนื่อยมาก  ที่สำคัญอากาศบ้านเราร้อนมากการรีดผ้าทำให้ร้อนจนไม่อยากจะรีด ปัจจุบันการรีดผ้านั้นสามารถที่จะจ้างหรือว่าทำเองก็ได้และมีอุปกรณ์รีดผ้าที่ช่วยทุ้นแรงในการรีดผ้าทำให้สะดวกและเบาแรงได้มาก  ถึงแม้ปัจจุบันเรามีการค้นพบเส้นใยของผ้าที่สามารถสังเคราะห์ได้ตามต้องการโดยที่ไม่ต้องรีดแล้วก็ตามแต่ก็ยังไม่สามารถทดแทนเส้นใยธรรมชาติ  และต้องการชุดที่รีดแล้วเป็นตรงที่ต้องการนั้นเอง  บางคนในการรีดผ้าต้องมีอุปกรณ์ให้ครบอย่างเช่นน้ำยารีดผ้า  โต๊ะที่รีดผ้ารองรีดที่สามารถสะท้อนความร้อนได้ดี  เตารีดไอน้ำ  ช่วยให้รีดได้รวดเร็วขึ้น  แต่การรีดให้ถูกวิธีนั้นต้องใช้ให้ถูกวิธีทั้งหมดจะทำให้ประหยัดไฟและเวลาได้ดี
                     เตารีด  เตารีดเป็นอุปกรณ์รีดผ้าที่ให้ความร้อนและกินไฟเยอะอีกด้วย  เมื่อก่อนเตารีดที่ใช้จะใช้ถ่านหุงต้นเมื่อมันร้อนแดงแล้วจึงนำมาใส่ไว้ภายใน  ใส่มากร้อนมากใส่น้อยร้อนน้อยแล้วทำการรีดจึงเรียกว่าเตารีดในปัจจุบันนั้นเอง  พอมีพลังงานไฟฟ้าทำให้เตารีดแบบใช้ถ่านได้หมดยุคไป  ใช้เตารีดไฟฟ้าแทนซึ่งมีหลายแบบที่ขายกันในปัจจุบัน  มีการพัฒนาให้เหมาะสมกับการรีดมากขึ้น  ไม่ว่าจะเป็นน้ำหนักที่เบาขึ้นแต่รีดได้ง่ายขึ้น  เป็นเตารีดไอน้ำบ้าง  หรือสามารถที่จะรีดได้ในขณะที่แขวนอยู่  เตารีดนั้นมีรูปร่างที่ไม่ต่างจากสมัยก่อนเลยจะเป็นรูปหัวแหลมท้ายตัดเนื่องจากเป็นการออกแบบให้เหมาะสมกับการรีดทุกๆ  ทรงของเสื้อผ้าและทำรีดได้ทุกซอกทุกมุม  แต่จะเป็นการพัฒนาในด้านวัสดุที่ใช้ทำเตารีดให้เบาและรีดได้ง่ายไม่ติดเสื้อผ้า  การเลือกเตารีดนั้นจะต้องเลือกให้เหมาะสมกับการใช้งานโดยเลือกจากปริมาณของเสื้อผ้าที่รีดในแต่ละครั้ง  เตาเป็นเตารีดไอน้ำจะช่วยให้รีดได้เร็วกว่าเพราะไม่ต้องพรมน้ำทำให้รีดไปได้ง่ายและสามารถรองรับกับการใช้งานของผ้าที่มีจำนวนมากแต่กินไฟมากและควรใช้น้ำที่สะอาดเพราะว่าน้ำไม่สะอาดจะทำให้เกิดตะกรันไปอุดรูของไอน้ำทำให้อายุการใช้งานลดลง
คำแนะนำในการรีดผ้า
  1. รีดผ้าในแต่ละครั้งจำนวนมาก หมายถึงเก็บเอาไว้จำนวนมากแล้วรีดครั้งเดียวจะทำให้ประหยัดไฟมากกว่าการรีดหลายครั้ง  ครั้งละน้อยตัว  เพราะเตารีดต้องอาศัยระยะเวลาในการทำให้เตารีดร้อนนั้นเอง
  2. รีดผ้าเท่าที่จำเป็น ผ้าที่รีดบางชนิดไม่จำเป็นต้องรีดก็ได้  อย่างเช่นผ้าที่ทำมาจากใยสังเคราะห์  ผ้าที่ซักแล้วแขวนไว้จะเรียบเอง  ผ้าที่ไม่ยับอย่างเช่นผ้าที่ใส่เล่นกีฬา  ผ้าที่ไม่จำเป็นอื่นๆ  อย่างเช่น  ปลอกหมอน  ผ้าปูที่นอนเป็นต้น
  3. ให้รีดผ้าที่ใช้ความร้อนต่ำก่อน จะได้ไม่ต้องเสียเวลาทำให้เตารีดเย็นก่อนหากมีผ้าที่ผสมกันในตัวเดียวให้ใช้ความร้อนที่ต่ำให้เหมาะกับใยผ้าที่ไม่ทนความร้อนเสียก่อน  หากไม่ทราบว่าความร้อนเท่าไรจึงเหมาะสามารถที่จะทดลองได้ด้วยการรีดที่ตะเข็บด้านใน
  4. การรีดให้เรียบ จะต้องใช้สเปรย์ฉีดน้ำ  และพรมน้ำโดยในการฉีดแต่ละครั้งให้ห่างจากผ้า 1 ฟุต  หากเป็นเตารีดไอน้ำก็ปรับระดับไอน้ำให้เหมาะสม
  5. การรีด ต้องดูแนวของผ้าที่รีดให้รีดไปตามแนวของเส้นใยผ้า
  6. ทำให้ลายผ้าเด่น การที่เราจะดึงลายผ้าให้เด่นนั้น  ให้รีดจากด้านหลัง
  7. ลูกไม้ ควรพรมน้ำให้ชุ่มแล้วนำผ้ามารองก่อนรีด  จะทำให้ลูกไม้เด่นขึ้นมา
  8. ผ้าใยสังเคราะห์ มักเป็นผ้าที่รีดไม่ยาก  แต่ต้องใช้ความร้อนให้เหมาะสม  ถ้าร้อนไปจะทำให้ผ้าขึ้นมัน
  9. หลังรีด ให้แขวนผ้าที่รีดเพื่อให้แห้งสนิทเสียก่อนจึงจะนำเข้าตู้
  10. ที่รองรีด จะต้องมีความมั่นคง  ทำความสะอาดง่าย  และมีความสูงที่เหมาะสมกับการรีดของเราได้พอดี  โดยวัดจากการที่เรามือไปวางที่รองรีดข้อศอกจะงอเล็กน้อ
เรียบเรียงโดย    http://www.krabork.com/

ประโยชน์ของกล้วย

กล้วย


กล้วย(Banana) ที่นิยมรับประทานกันในบ้านเรานั้นมีอยู่หลากหลายสานพันธุ์ เช่น กล้วยหอมกล้วยน้ำว้า กล้วยไข่ กล้วยหักมุม เป็นต้น แต่สำหรับต่างชาติแล้วกล้วยที่นิยมมากที่สุดคงหนีไม่พ้นกล้วยหอม เนื่องจากกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์ ถ้าพูดถึงเรื่องประโยชน์แล้วมีงานวิจัยชิ้นหนึ่งระบุชัดเจนว่าการรับประทานกล้วยแค่ 2 ลูกจะช่วยเพิ่มพลังงานในร่างกายได้เทียบเท่ากับการออกกำลังกายถึง 90 นาทีเลยทีเดียว! เพราะกล้วยอุดมไปด้วยน้ำตาลจากธรรมชาติรวมถึง 3 ชนิดเลยทีเดียวนั่นก็คือ ซูโครส กลูโคส และฟรุคโทส ซึ่งช่วยเพิ่มพลังงานให้แก่ร่างกายนั่นเอง
นอกจากนี้แล้วในกล้วยยังอุดมไปด้วยเส้นใยและกากอาหาร และยังวิตามินและแร่ธาตุนา ๆชนิดที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น ธาตุเหล็ก ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุโพแทสเซียม ธาตุแมกนีเซียม คาร์โบไฮเดรต โปรตีน วิตามินเอ วิตามินบี6 วิตามินบี12 และ วิตามินซี เป็นต้น
คุณรู้หรือไม่ผลไม้อย่าง แอปเปิ้ลที่ขึ้นชื่อเรื่องความมีประโยชน์ก็ยังแพ้กล้วย เพราะว่าในกล้วยนั้นมีวิตามินและแร่ธาตุต่าง ๆมากกว่าแอปเปิ้ลถึง 2 เท่า โดยมีคาร์โบไฮเดรตมากกว่า 2 เท่า มีฟอสฟอรัสมากกว่า 3 เท่า มีโปรตีนมากกว่า 4 เท่า วิตามินเอและธาตุเหล็กมากกว่า 5 เท่าด้วยกัน!! โดยการกินกล้วยจะให้ดีที่สุดคือกินตอนเช้าเพื่อจะช่วยให้ระบบต่าง ๆในร่างกายทำงานได้ดี และการกินกล้วยทุกวันวันละ 2 ผลถือเป็นสิ่งที่ดีและวิเศษมาก ๆ จะกล้วยหอม กล้วยไข่ กล้วยน้ำว้าก็ได้ทั้งนั้น

ประโยชน์ของการกินกล้วย

  1. ช่วยลดกลิ่นปากได้ดีในระดับหนึ่ง แต่ทั้งนี้ควรทานหลังตื่นนอนตอนเช้าทันทีแล้วค่อยแปรงฟัน และถ้าเป็นกล้วยน้ำว้าจะยิ่งช่วยลดกลิ่นปากได้ดีขึ้น
  2. กล้วย ช่วยควบคุมอุณหภูมิในร่างกายให้เป็นปกติ
  3. กล้วยอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุต่าง ๆที่สำคัญและจำเป็นต่อร่างกาย เช่น ธาตุเหล็ก ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม แมกนีเซียม คาโบไฮเดรต โปรตีน วิตามินเอ วิตามินบี6 วิตามินบี12 และวิตามินซี
  4. ช่วยเพิ่มพลังให้แก่สมองของคุณ เพราะมีสารที่ช่วยทำให้มีเกิดสมาธิและมีการตื่นตัวตลอดเวลา
  5. กล้วยก็มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระเหมือนกันนะ ที่ช่วยในการชะลอความแก่ตัวของร่างกายนั่นเอง
  6. กล้วยมีส่วนช่วยในการลดความอ้วนได้ เพราะช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือกช่วยให้ลดอาการอยากกินของจุกจิกลงได้พอสมควร
  7. สำหรับผู้ที่มีอาการนอนไม่หลับ กล้วยคือคำตออบสำหรับคุณ
  8. อาการหงุดหงิดยามเช้า กล้วยก็ช่วยคุณได้เหมือนกัน
  9. ช่วยลดอาการหงุดหงิดของผู้หญิงในช่วงประจำเดือนมา
  10. ช่วยลดอาการเมาค้างได้ดีระดับหนึ่ง เพราะจะช่วยชดเชยน้ำตาลที่ร่างกายขาดไปในขณะดื่มแอลกอฮอล์
  11. เป็นตัวช่วยสำหรับผู้ที่ต้องการอยากเลิกสูบบุหรี่ เพราะในกล้วยมีวิตามินเอ ซี บี6 บี12 โพรแทสเซียม และแมกนีเซียมที่ช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วขึ้นจากการเลิกนิโคติน
  12. ช่วยรักษาอาการท้องผูก เพราะกล้วยมีเส้นใยและกากอาหารซึ่งจะช่วยให้ขับถ่ายได้อย่างปกติ
  13. ช่วยบรรเทาอาการของริดสีดวงทวาร หรือในขณะขับถ่ายจะมีเลือดออกมา
  14. ช่วยลดอาการเสียดท้อง ลดกรดในกระเพาะ การกินกล้วยจะทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลายจากอาการนี้ได้
  15. ช่วยรักษาโรคโลหิตจางได้ เพราะในกล้วยมีธาตุเหล็กสูง ซึ่งจะช่วยในการผลิตฮีโมโกลบินในเลือด เพื่อรักษาภาวะโลหิตจางหรือผู้ที่อยู่ในสภาวะขาดกำลัง
  16. ช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูง หรือเส้นเลือดฝอยแตกได้
  17. ช่วยลดโอกาสเสี่ยงของการเกิดเส้นโลหิตแตกได้
  18. สำหรับผู้ที่เป็นโรคกระเพาะหรือกระเพาะอักเสบ การรับประทานกล้วยบ่อย ๆ ถือเป็นสิ่งที่ดีมาก เพราะกล้วยมีสภาพเป็นกลาง มีความนิ่มและเส้นใยสูง
  19. ช่วยรักษาแผลในลำไส้เรื้อรัง เพราะกล้วยมีสภาพเป็นกลาง ทำให้ไม่เกิดการละคายเคืองในผนังลำไส้และกระเพาะอาหารด้วย
  20. ช่วยรักษาโรคซึมเศร้า ภาวะความเครียด เพราะกล้วยมีโปรตีนชิดหนึ่งที่เรียกว่า Tryptophan ซึ่งช่วยในการผลิตสาร Serotonin หรือ ฮอร์โมนแห่งความสุข จึงส่วนช่วยในการผ่อนคลายอารมณ์ได้ดียิ่งขึ้น
  21. ช่วยลดอัตราการเกิดตะคริวบริเวณมือ เท้า และน่องได้
  22. ช่วยบรรเทาอาการแพ้ท้องของมารดาลงได้
  23. กล้วย สรรพคุณช่วยบรรเทาอาการนิ่วในไตได้ในระดับหนึ่ง
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ รูปกล้วย

ประโยชน์ของกล้วย

  1. กล้วยก็สามารถนำมาทำเป็นมาส์กหน้าได้เหมือนกันนะ โดยจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นให้แก่ผิว ช่วยลดความหยาบกร้านบนผิว วิธีง่าย ๆ เพียงแค่ใช้กล้วยสุกหนึ่งผลมาบดให้ละเอียด แล้วเติมน้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ จากนั้นคลุกให้เข้ากัน แล้วนำมาพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 15 นาทีแล้วล้างออก
  2. เปลือกกล้วยสามารถแก้ผื่นคันที่เกิดจากยุงกัดได้ ด้วยการลองใช้ด้านในของเปลือกกล้วยทาบริเวณที่ถูกยุงกัด อาการคันจะลดลงไปได้ระดับหนึ่ง
  3. เปลือกด้านในของกล้วยช่วยในการรักษาโรคหูดบนผิวหนังได้ โดยใช้เปลือกกล้วยวางปดลงบริเวณหูดแล้วใช้เทปแปะไว้
  4. เปลือกกล้วยด้านในช่วยฆ่าเชื้อ ที่เกิดจากบาดแผลได้เหมือนกัน แต่ยังไงก็ตามเมื่อแปะที่บาดแผลแล้วก็ควรจะเปลี่ยนเปลือกใหม่ทุก ๆ 2 ชั่วโมงด้วย
  5. ยางกล้วยสามารถนำมาใช้ในการห้ามเลือดได้
  6. ก้านใบตอง ช่วยลดอาการบวมของฝี แต่ก่อนใช้ต้องตำให้แหลกเสียก่อน
  7. ใบอ่อนของกล้วย หากนำไปอังไฟให้นิ่ม ก็ใช้ประคบแก้อาหารเคล็ดขัดยอกได้
  8. หัวปลี นำมารับประทานเพื่อช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด และบำรุงและขับน้ำนมสำหรับมารดาหลังคลอดบุตร
  9. ผลดิบนำมาบดให้ละเอียดทั้งลูกผสมกับน้ำสะอาด รับประทานเพื่อแก้อาการท้องเสีย
  10. ใบตอง อีกส่วนที่นำมาใช้ประโยชน์กันอย่างมาก เช่น กระทง ห่อขนม ห่ออาหาร ทำบายศรี บวงสรวงต่าง ๆ

คุณค่าทางโภชนาการของกล้วย ต่อ 100 กรัม

  • ประโยชน์ของกล้วยพลังงาน 89 กิโลแคลอรี่
  • คาร์โบไฮเดรต 22.84 กรัม
  • น้ำตาล 12.23 กรัม
  • เส้นใย 2.6 กรัม
  • ไขมัน 0.33 กรัม
  • โปรตีน 1.09 กรัม
  • วิตามินบี1 0.031 มิลลิกรัม 3%
  • วิตามินบี2 0.073 มิลลิกรัม 6%
  • วิตามินบี3 0.665 มิลลิกรัม 4%
  • วิตามินบี5 0.334 มิลลิกรัม 7%
  • วิตามินบี6 0.4 มิลลิกรัม 31%
  • วิตามินบี9 20 ไมโครกรัม 5%
  • โคลีน 9.8 มิลลิกรัม 2%
  • วิตามินซี 8.7 มิลลิกรัม 10%
  • กล้วยธาตุเหล็ก 0.26 มิลลิกรัม 2%
  • ธาตุแมกนีเซียม 27 มิลลิกรัม 8%
  • ธาตุแมงกานีส 0.27 มิลลิกรัม 13%
  • ธาตุฟอสฟอรัส 22 มิลลิกรัม 3%
  • โพแทสเซียม 358 มิลลิกรัม 8%
  • ธาตุโซเดียม 1 มิลลิกรัม 0%
  • ธาตุสังกะสี 0.15 มิลลิกรัม 2%
  • ธาตุฟลูออไรด์ 2.2 ไมโครกรัม
% ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ (ข้อมูลจาก : USDA Nutrient database)
แหล่งอ้างอิง : วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี (EN), USDA Nutrient database
เรียบเรียงข้อมูลโดย ฟรินน์.com (ไม่อนุญาตให้คัดลอกเนื้อหาไม่ว่าส่วนหนึ่งส่วนใด)

วันอาทิตย์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2559

คำทักทาย 10 ประเทศ อาเซียน

        
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ สวัสดี อาเซียน



         เมื่อเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ทำให้การทำธุรกิจต่าง ๆ ระหว่างประเทศอาเซียนด้วยกันเกิดความเสรี คล่องตัวมากขึ้น ดังนั้นจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ว่าชาวไทยต้องศึกษาความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับภาษาของเพื่อนบ้าน เพื่อความสะดวกในการติดต่อสื่อสาร และวันนี้เรามีคำทักทายของประเทศสมาชิกอาเซียน 10 ชาติอาเซียน ได้แก่ ประเทศบรูไน พม่า กัมพูชา อินโดนีเซีย ลาว มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม มาฝากกัน
 
บรูไนและมาเลเซีย

           ซาลามัด ดาตัง (หมายเหตุ บรูไนและมาเลเซียใช้ภาษาเดียวกัน)  หมายถึง สวัสดี
 
กัมพูชา

           อรุณซัวซะเดย หมายถึง สวัสดีตอนเช้า
           ทิวาซัวซะเดย หมายถึง สวัสดีตอนเที่ยงจนถึงเย็น
 
อินโดนีเซีย

           เซลามัทปากิ หมายถึง สวัสดีตอนเช้า
           เซลามัทซิแอง หมายถึง สวัสดีตอนเที่ยง
           เซลามัทซอร์ หมายถึง สวัสดีตอนเย็น
           เซลามัทมายัม หมายถึง สวัสดีตอนค่ำ
 
ลาว

           สะบายดี  หมายถึง สวัสดี
 
พม่า

           มิงกะลาบา หมายถึง สวัสดี
 
ฟิลิปปินส์

           กูมูสต้า หมายถึง สวัสดี
 
สิงคโปร์

           หนี ห่าว (ใช้เหมือนจีน เพราะประชากรส่วนใหญ่ในสิงคโปร์เป็นชาวจีน) หมายถึง สวัสดี
 
ไทย

           สวัสดี
 
เวียดนาม

           ซินจ่าว หมายถึง สวัสดี
 
          ทั้งหมดคือคำทักทาย 10 ชาติในอาเซียน สั้น ๆ เข้าใจง่าย และทางกระปุกดอทคอมหวังว่าจะเป็นข้อมูลพื้นฐานที่สามารถนำไปทักทายเพื่อน ๆ ในประเทศอาเซียนนะคะ




ขอขอบคุณข้อมูลจาก
ais.co.th